ยินดีต้อนรับ นักเดิมพันทั่วไทย

เสื้อผ้าแต่ละยุค การแปรเปลี่ยนของแฟชั่นตั้งแต่แรกเริ่ม

Blackcat
, เสาร์ 9 ธันวาคม 2023

เสื้อผ้าแต่ละยุค ว่าด้วยเรื่องของเสื้อผ้านั้น ก็เป็นอีกปัจจัยหลักในการใช้ชีวิตของมนุษย์ทุกคน และในทุกช่วงการเปลี่ยนผ่านความนิยมของการแต่งกายก็มีการเปลี่ยนไปตามความต้องการ และค่อนข้างเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

ในแต่ละทศวรรษเสื้อผ้าการแต่งตัว ก็จะมีหลากหลายสไตล์ตามพื้นที่อยู่อาศัย ไม่เพียงเท่านั้นยังสามารถจัดออกมาเป็นสไตล์ตามสภาพแวดล้อมและแนวเพลงอีกด้วย

ไล่เรียง เสื้อผ้าแต่ละยุค มีความนิยมอย่างไร

อย่างที่ได้บอกไปแล้วข้างต้นว่าเมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป เสื้อผ้าแต่ละยุค การแต่งกายของผู้คนก็เปลี่ยนไปตามด้วยเช่นกัน แล้วทุกท่านพอจะนึกภาพออกหรือไม่ว่าในแต่ละยุคสมัยการแต่งกายเป็นอย่างไร

เสื้อผ้าแต่ละยุค ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1795 – 1919

ในช่วง 1795 นับเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านและได้รับการปฏิวัติ จนทำให้การแต่งกายของเหล่าหญิงสาวในยุคนั้นได้รับอิทธิพลมาจากกรีกโบราณ โดยการแต่งตัวด้วยชุดกระโปรงยาวถึงพื้น ยังไม่ใส่คอร์เซ็ต แต่เอวของกระโปรงนั้นจะสูงซึ่งจะอยู่บริเวณใต้ราวนม ชนชั้นที่มีฐานะดีจะชื่นชอบการใส่เสื้อผ้าสีขาว ส่วนฐานะที่รองลงมาจะนิยมแต่งกายด้วยชุดสีอ่อนหรือพาสเทล และจะใช้สีขาวในงานพิเศษเท่านั้น
ในช่วง 1815 ในยุคนี้ผู้คนจะให้การสนใจการแต่งเนื้อแต่งตัวตามแบบ แองโกลมาเนีย ซึ่งจะออกมาในแนวอังกฤษที่สุด และชื่นชอบในศิลปะที่เน้นสื่อถึงอารมณ์ความรู้สึกที่สุด การแต่งตัวของหญิงสาวจะใส่เป็นชุดที่มีความฟูบานตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ตัวชุดไหล่จะลู่ลง เอวเล็กหรือเอวคอด ส่วนสะโพกจะผายออกกว้าง และความหรูหราก็เพิ่มขึ้นตามความนิยม
ในช่วง 1840 จะเป็นช่วงของวิคตอเรียตอนต้นการแต่งกายของหญิงสาว ช่วงบนจะมีลักษณะของช่วงไหล่จะลู่ลงและมีความแคบ ช่วงบนจะเล็กมาก ๆ เนื่องจากรัดคอร์เซ็ต ท่อนล่างมีความบานพอสมควร ความยาวถึงพื้น และพองขึ้นตามการเปลี่ยนแปลง ในสมัยนี้นับเป็นจุดกำเนิดของการใส่สุ่มเพื่อให้กระโปรงบานสวยงาม และไม่ต้องใส่กระโปรงหลายชั้นให้หนักอีกต่อไป การใส่หมวกจากที่เป็นใบใหญ่มีปีกกว้างก็กลายมาเป็นหมวกที่มีลักษณะ ปิดหน้าด้านข้าง จะสามารถเห็นหน้าได้อย่างชัดเจน ต้องเป็นตอนที่หันหน้าตรงเท่านั้น
1870 ช่วงวิคตอเรียตอนปลาย ในช่วงนี้จะนิยมใส่เสื้อผ้าที่มีความเข้มมากขึ้น เนื่องด้วยราชาสวรรคต ราชินีจึงแต่งกายเพื่อไว้อาลัย ด้วยการใส่เสื้อผ้าสีเข้มหรือสีดำ จึงเป็นเหตุให้กลายมาเป็นที่มาของสีเสื้อผ้าที่มีความเข้มมากขึ้น ในส่วนของท่อนล่างนั้นจะไม่ได้บานแบบ 360 องศาเหมือนในช่วงแรก แต่ตัวกระโปรงจะเน้นการพองแค่ด้านหลังเรียกว่าแบบ hard bustle
ยุค 1890 ยุคนี้จะเป็นยุคทองของชนชั้นสูง มีอันจะกินและผู้หญิงเริ่มออกทำงาน การแต่งกายของผู้หญิงจะถูกปรับให้เข้ากับสรีระของเจ้าหล่อนมากขึ้น ไหล่จะตั้งตรงไม่ลู่ลงอย่างที่เคย และมีการตัดเสื้อผ้าแบบสูทเกิดขึ้นแต่ข้างในยังมีคอร์เซ็ตเหมือนเดิม
ช่วง 1910 ในช่วงนี้เรียกได้ว่าเกิดการเปลี่ยนครั้งใหญ่ เนื่องจากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 จึงทำให้ผู้หญิงต้องมาทำหน้าที่ต่าง ๆ แทนผู้ชายเพราะผู้ชายต้องไปรบ การแต่งกายก็เบาลงกระโปรงแคบลงและสั้นกว่าเดิมเล็กน้อย เสื้อผ้าจะเน้นไปทางด้านการใช้งานและทำงานได้อย่างคล่องตัวเป็นหลัก [1]

การแต่งกาย เสื้อผ้าแต่ละยุค ในปี 1920 – 1969

1920s ในช่วงนี้จะเป็นช่วง Jazz Age เป็นยุคของหนุ่มสาวรุ่นใหม่ ผู้คนกลับมามีฐานะและรุ่งเรืองขึ้น ความอิสระของหญิงสาวก็มากขึ้นด้วย การแต่งกายของผู้หญิงจะนิยมแต่งกายแบบ “Flapper dress” ซึ่งชุดจะออกมาเป็นแบบลำตัวตรงช่วงอกแบนราบ และกระโปรงสั้น บวกกับทรงผมบ๊อบสั้นปากแดง
1930s การออกแบบเสื้อผ้าจะมีความหลากหลายมากขึ้น เข้ารูปกว่าเดิม เริ่มมีการดัดผม ผลิตของใช้ และมีการเสริมความงามด้วยการศัลยกรรมพลาสติกเกิดขึ้นแล้ว
1940s ในช่วงนี้เกิดสงครามโลกครั้งที่สอง จึงทำให้ขาดแคลนต้องแบ่งสรร ปันส่วนทุกอย่างทั้งเสื้อผ้าและอาหาร แฟชั่นในยุคนั้นจะยังไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก เสื้อผ้าจะนิยมใช้สีเข้มมืด ๆ พอหลังจากจบสงครามการแต่งตัวแบบสิ้นเปลืองก็กลับมาอีกครั้ง ด้วยการใส่สูทพอดีตัว เอวเล็ก กระโปรงบาน
1950s ยุคนี้ผู้คนเริ่มกลับมามีฐานะมีเงินมีงานมากขึ้น และเป็นช่วงที่วัยรุ่นหนุ่มสาวมีสไตล์เป็นของตัวเองมากขึ้น โดยช่วงแรกจะนิยมเป็นชุดกระโปรงตรงและแคบหรือที่เรียกกันว่าทรงดินสอ อีกแบบที่ฮิตกันก็จะเป็นชุดกระโปรงบาน ๆ ความยาวประมาณคลุมเข่า เสื้อผ้าในยุคนี้เริ่มมีราคาที่ถูกแล้วด้วย
1960s ยุคนี้เริ่มเกิดวิทยาการต่าง ๆ เข้ามาในการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็น ดนตรี ศิลปะ ก็มีการพัฒนาเพิ่มมากขึ้นส่วนแนวของเสื้อผ้าจะเป็นแนว “Mod look” จะนิยมสวมใส่ กระโปรงสั้น ชุดเดรส สีเมทัลลิก ถุงน่องหลากสี ลายจะเป็นแนวเรขาคณิตและสีสันที่มีความจัดจ้านแบบสุด ๆ ซึ่งการแต่งตัวสไตล์นี้จะเริ่มบูมในช่วง หกศูนย์ ตอนปลายช่วงต้นๆยังคงชื่นชอบเดรสบานกันอยู่ [1]

เสื้อผ้าแต่ละยุค สไตล์และความแปลกที่มีอย่างต่อเนื่อง

เสื้อผ้าที่มีการเปลี่ยนแปลงเรื่อยมา จนไม่รู้ว่าจะมีจุดสิ้นสุดที่ตรงไหน ยิ่งเทคโนโลยีเริ่มเข้ามาความแปลกใหม่ แหวกแนวก็มีเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน แต่จะแปลกมากขนาดไหนนั้น เราไปกันต่อในช่วงของยุค 60s ตอนปลาย ยาวไปจนถึงในช่วง 2000s กันเลย

ความฮิตของ เสื้อผ้าแต่ละยุค ในช่วง 60s – 80s

ยุค 60s นิยมเป็นเสื้อผ้าสีสดใส เริ่มมีความชอบเกี่ยวกับเสื้อผ้าแนวอวกาศ ที่สื่อถึงความยุค Space Age ได้เป็นอย่างดี ผู้คนชื่นชอบการแต่งตัวสบายๆ เดรสสั้น รองเท้าแฟลต ถุงน่องขาวนี่คือใช่เลย
ยุค 70s / Hippies จะเป็นช่วงกลางของ หกศูนย์ เป็นต้นมาการแต่งตัวของหญิงสาว จะมีความอิสระมากกว่า เสื้อผ้าจะไปในโทนสีฟ้า เริ่มใส่กางเกง และมีช่วงของการแต่งตัว ฮิปปี้ เข้ามา โดยการใส่เสื้อผ้าสบาย ๆ เครื่องประดับส่วนใหญ่จะเป็นหนัง ขนนก เชือก เป็นลุคใหม่ที่แปลกและนิยมมาจนถึงปัจจุบัน และในยุคนี้จะไม่นิยามเรื่องของรูปร่างหน้าตาฝ่ายหญิงอีกต่อไป
ช่วง 80s การกลับมาของ Power Suit ในยุคจะนิยมการแต่งกายแบบ ฟิตเนสเกิร์ล การเล่นกีฬาจะโดดเด่นขึ้นมา เกิดเป็นที่มาของชุดกีฬา ชุดแอโรบิกจะมาแรงมากในยุคนี้ [2]

เสื้อผ้าแต่ละยุค 90s – 2000s

90s ในช่วงแรกๆการแต่งตัวยังคงยังได้รับอิทธิพลการแต่งตัวแฟชั่นต่าง ๆ มาจากช่วงแปดศูนย์ ยังคงการแต่งตัวแนวสปอร์ตสบายๆ อยู่ตีคู่มากับกระแสของเหล่านางแบบ ไม่นานก็มีการปรับเปลี่ยนตามแนวเพลงออลเทอร์นาทิฟร็อก ที่เข้ามาทำให้การแต่งตัวนิยมใช้เสื้อครอป เสื้อยืด กางเกงยีนส์ ในการแต่งกายของเพศหญิงเริ่มเซ็กซี่ เผยให้สรีระที่สวยงามมากขึ้น
2000s ด้วยแนวดนตรีเริ่มมีความหลากหลายทำให้ผู้คนที่ชื่นชอบแนวของตนมีการแต่งกายตามแนวเพลงที่ตนชอบ ในช่วงอิทธิพลของฮิปฮอปเริ่มเข้ามา แนวเพลงป็อปก็มี จึงมีความหลากหลายที่มากขึ้นในด้านของแฟชั่นด้วย ทั้งกางเกงยีนส์เอวต่ำ กระโปรงที่สุดแสนจะสั้น สายเดี่ยวเอวลอยก็นิยมกันมาตั้งแต่ในปี 2000 ลากยาวมาจนถึงปัจจุบันซึ่งก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องเรื่อยมา มีทั้งที่ล้าหลัง และมีทั้งการหยิบจับเอาการแต่งตัวแบบเก่า มาแมตช์ให้เกิดเป็นสไตล์ใหม่แบบนี้ก็มี [2]

เสื้อผ้าแต่ละยุค ในช่วง ยุค Victorian VS ปัจจุบัน

เปรียบเทียบการแต่งองค์ทรงเครื่องของผู้หญิงในยุค วิคตอเรีย และ ปัจจุบัน ความเด่นของผู้หญิงที่มีการแสดงความเป็นหญิงผ่านการแต่งกาย ทุกอย่างจะต่างกันอย่างเด่นชัด จะมีอะไรที่ต่างกันบ้างนั้นไปดูกันเลย

ยุค Victorian กับการใส่ เสื้อผ้าแต่ละยุค

ในสมัยก่อนจะนิยมใส่คอร์เซ็ต เพื่อทำให้เอวคอดและเล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้
เสื้อท่อนบนจะลู่ลง แสดงให้เห็นถึงความอ่อนโยน อ่อนหวาน และนอบน้อม
กระโปรงจะมีหลายเลเยอร์หลายชั้น เพื่อให้มีความบาน จนเกิดการพัฒนามาใส่สุ่มและไม่หนักจนเกินไป
สมัยก่อนด้วยการแต่งตัวด้วยกระโปรงยาวมากและบาน รวมถึงการรัดสัดส่วนให้ดูเล็กทำให้การเดินเหินขยับตัวค่อนข้างที่จะลำบาก

เสื้อผ้าแต่ละยุค กับเทรนในปัจจุบัน

การแต่งตัวสมัยนี้มีความหลากหลาย ได้รับอิทธิพลมาจากหลายเรื่องราวไม่ว่าจะในด้านของเพลง ศิลปะ วัฒนธรรม
การแต่งกายของผู้หญิงในปัจจุบันมักแต่งด้วยเสื้อผ้าที่มีความสบาย ขยับตัวได้อย่างกระฉับกระเฉง
เสื้อผ้าจะไม่ยาวรุงรัง เปิดเผยเนื้อหนังสรีระมากกว่า
ดีไซน์ดูล้ำสมัยและมีความเป็นตนเองอย่างสูง

รีวิว เสื้อผ้าแต่ละยุค กับความฮิตในปัจจุบัน

การใส่เสื้อผ้าในปัจจุบันมีอะไรที่น่าสนใจมากมาย แต่ละแนวการแต่งตัวนั้นมีแยกย่อยออกไปอีกเยอะมาก ซึ่งการแต่งกายในปัจจุบันมีทั้งการหวนคืนของแฟชั่นในยุค มามิกซ์แอนด์แมตช์ มีทั้งแฟชั่นที่มาใหม่เรื่อย ๆ และมีทั้งล้าหลังไปแล้ว

เทรนของ เสื้อผ้าแต่ละยุค ที่หวนคืนกลับมา

ในปัจจุบันการแต่งตัวของเหล่าวัยรุ่นที่มีการนำแฟชั่นในช่วงสองศูนย์ นำมาใส่ใหม่มีทั้งเสื้อสายเดี่ยว กางเกงยีนเอวต่ำ กลับมาฮิตเหมือนเดิม รวมทั้งข้าวของเครื่องใช้เครื่องประดับก็กลับมานิยมเช่นกัน

เสื้อผ้าแต่ละยุค ความเก่าที่ไม่ล้าสมัย

อย่างที่บอกไปข้างต้นแฟชั่นเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว มีทั้งที่เราตามทันและตามไม่ทัน ในทุกยุคทุกสมัยมีการปรับเปลี่ยน มีทั้งการนำมาแมตช์ใหม่ให้ลงตัว และกลายเป็นสไตล์ใหม่ สิ่งเหล่านับจึงเป็นสิ่งที่ไม่มีวันจะหายไป ต่อให้เก่าแค่ไหนก็ยังคงจะวนเวียนกลับมากลายเป็นสิ่งใหม่ได้

สรุป เสื้อผ้าแต่ละยุค

โดยสรุปแล้ว การแต่งกายที่มนุษย์สรรค์สร้างขึ้นมา ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้เราได้เห็นความหลากหลายของในแต่ละยุค การบุกเบิกที่เราเองก็ยังไม่คาดคิด แต่มนุษย์ก็สามารถทำมันออกมาเป็นชิ้นเป็นอันให้จับต้องได้

อ้างอิง

[1] Charinbuphachok. (August 30, 2016). แฟชั่นของยุคสมัยต่างๆ จนถึงปัจจุบัน. Retrieved from Charinbuphachok

[2] Vogue. (September 13, 2020). แฟชั่นของยุคสมัยต่างๆ จนถึงปัจจุบัน. Retrieved from Vogue

Blackcat

หากเป้าหมายคือความสุข แต่ในบางครั้งเราก็ลืมไปว่าความสุขไม่ได้อยู่ที่เป้าหมายเพียงอย่างเดียว แต่ความสุขอยู่ในระหว่างทางต่างหาก ฉะนั้นแล้วผู้เขียนจึงมักจะเก็บความรู้สึกเล็กๆน้อยๆในระหว่างวันมาเป็นความสุขที่ทำให้มีชีวิตและก้าวเดินต่อไป

ผลงาน